บิว สารินี
Au Pair in Seaford, NY
with Walsh Family
สวัสดีค่ะ เราชื่อบิว สารินี สูงเนิน อายุ 24 ปี จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังจากเรียนจบเราทำงานที่บริษัทTTNI ได้ประมาณ 1 ปี เราต้องขอบอกก่อนว่า เราเป็นคนที่โง่ภาษาอังกฤษมาก แต่เราทำงานในบริษัทที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เช่นส่งเมล หรือคุยกับคนญี่ปุ่น ซึ่งเราต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เพราะเราไม่กล้าคุยภาษาอังกฤษกับเขา แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับงานสักเท่าไหร่เพราะเรายังถือว่าเป็นเด็กใหม่ แต่ด้วยความที่เราจะต้องทนกับความกลัวแบบนี้ต่อไปหรอ??? เราจึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานมาเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก (อันนี้ไม่ควรทำตามนะคะ) เราใช้เวลา 2 เดือนเพื่อเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กและเตรียมเอกสาร หลังจากนั้นเราออนไลน์ได้ประมาณ 3-4 วันก็มีโฮสเข้ามาวิวค่ะ
มีมาทั้งหมด 3 บ้านค่ะ บ้านแรกลูกชาย 5 คน บ้าน2 ฝาแฝด บ้าน3 ฝาแฝด พอได้คุยครบทั้ง 3 บ้าน เราเลยตัดสินใจเลือกบ้านแรก เด็ก5คน ฮ่าๆ เป็นอะไรที่บ้ามากๆ เราเลือกเพราะจุดประสงค์แรกเลย เราต้องการที่จะฝึกภาษา ดังนั้นเด็กทั้ง5 คนนี้แหละ ช่วยเราได้ อย่างที่ 2 บ้านนี้เคยมีออแพร์ไทย แล้วเราก็พอจะรู้ข้อดีข้อด้อยของบ้านนี้บ้างจากออแพร์ไทย ผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์เราก็ตัดสินใจแมทกับบ้านแรก
หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการการสัมภาษณ์วีซ่า ซึ่งช่วงที่เราได้สัมภาษณ์เป็นช่วงใกล้ปีใหม่ แล้วคนไปสัมภาษณ์เยอะมาก และคนไม่ผ่านก็เยอะมากเช่นกัน ดังนั้นเราก็เตรียมตัวไปอย่างดี คืออยากจะทำให้เต็มที่ที่สุด แต่แล้วก็เป็นไปตามเกมส์ คือไม่ผ่านจ้า ฮ่าๆ เราก็ท้ออยู่สักพัก แต่พอหลังจากผ่านปีใหม่ไป เราก็สัมภาษณ์วีซ่าอีกรอบ ห่างจากสัมภาษณ์รอบแรกเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น และแล้วเราก็ทำสำเร็จ ผ่านจ้าคุณได้ไปต่อ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่วุ่นวายมาก เพราะเราไม่ได้ลาใครเลย เราสัมภาษณ์ผ่านวันที่ 2 มค แต่เราบิน 7 มค เร็วยิ่งกว่า4G สรุปคร่าวๆ เราใช้เวลาทั้งหมด 4 เดือน ในการเตรียมตัวตั้งแต่เอกสารไปจนถึงเก็บกระเป๋าบิน ซึ่งมันก็เป็นเวลาไม่นาน ถ้าเราตั้งใจจริงเราก็สามารถทำได้ แค่เราลงมือทำอย่างน้อยก็สำเร็จ 50% แล้วอยากให้ว่าที่ออแพร์ทุกคนสู้ๆนะคะ
ชีวิตออแพร์เป็นอย่างไรบ้าง?
ตอนนี้เราก็มาอยู่ที่เมกาได้ 2 เดือนแล้ว ทุกอย่างที่นี้แปลกใหม่สำหรับเรามาก ช่วงสัปดาห์แรกที่เรามาเป็นอะไรที่ต้องใช้ความพยายามในการปรับตัวมาก ไม่ว่าจะอากาศที่หนาวแบบติดลบ หิมะตก หรือภาษาอังกฤษของเจ้าของภาษาที่พูดเร็วยังกะร้องแรป สัปดาห์แรกเราร้องไห้คิดถึงบ้านทุกวัน ฮ่าๆ ภาษาเราก็ไม่ค่อยได้ แถมยังต้องดูเด็ก 5 คน เราต้องพยายามอย่างหนัก ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่รอด แต่พอผ่าน 1 เดือนมาได้ทุกอย่างก็รู้สึกเบาบางขึ้น เริ่มจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ จากเด็กๆที่ฟังเราไม่รู้เลย ก็เริ่มฟังเราเข้าใจขึ้น ตอนมาแรกๆ เด็กๆก็จะมีแกล้งเราบ้าง เพราะเด็กผู้ชายก็จะซนบ้าง ทุกๆวันเราไม่เคยรู้สึกเหงาเลยเพราะเด็กเยอะมาก ฮ่าๆ บางที่เด็กๆก็เล่นรุนแรง เราก็ต้องห้าม บางทีก็แย่งของเล่นกัน บางทีก็แอบเอาขนมไปกินบนที่นอน ถ้าจะเอาแบบโลกสวยเลย คือ เราบันเทิงตลอดเวลากับเด็ก เพราะมีเรื่องให้บันเทิงมากมายจนเราไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นเลย อันนี้ก็ถือเป็นข้อดีที่เราจะแบบไม่ต้องไปคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ เพราะเรามั่วแต่ยุ่งวุ่นวายกับเด็กๆ ดังนั้นเราเลยมีอาการ Home sick แค่อาทิตย์แรก หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย ฮ่าๆ
บ้านเราเป็นบ้านที่สบายๆ ง่ายๆ เพราะเด็กเยอะ มีกฎก็ต้องมีแหก พ่อแม่ก็จะดุกับลูกๆนิดนึง แต่ก็ไม่ดุออแพร์หรอก ขออวยโฮสแม่นิดนึง โฮสทำกับข้าวอร่อยมาก ขนาดพวกอาหารฝรั่งที่เราไม่ค่อยชอบนะ แต่มันอร่อยมาก เราเลยได้กินดินเนอร์ด้วยทุกวัน แต่ก็กินแบบวุ่นวายๆกับเด็กๆนั้นแหละ เราต้องบอกก่อนเลยว่าเนื่องจากโฮสเรามีลูกเยอะ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องพยายามช่วยเหลือตนเอง ซึ่งตอนแรกเราก็แบบไม่ค่อยชอบนะ อยากให้โฮสไปส่งที่นั้นที่นี้ เพราะด้วยความกลัวหลงทางและภาษางูๆปลาๆของเรา แต่พอเราได้ลองไปด้วยตัวของตัวเองแล้วมันกลับทำให้เรารู้สึกภูมิใจ และกล้าออกจาก comfort zone ของเราเอง เมื่อมาอยู่ที่นี้ เราจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่และรู้หน้าที่รับผิดชอบของเรา เราอาจจะอยู่ที่นี้แค่ 2 เดือน แต่เรานั่งบัส นั่งเทรน ไปเรียนเองและทำธุรกรรม เช่น ธนาคาร ประกันสังคม ด้วยตัวเราเองทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี้พร้อมให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลาขอแค่เราเปิดใจ และกล้าที่จะก้าวออกไป